การเล่นบาส

การบริหารร่างกายก่อนเล่นบาส


การบริหารร่างกายทำได้หลายวิธี จะเป็นวิธีใดก็แล้วแต่ที่สำคัญต้องให้มีผลต่อการทำงานของหัวใจ และปอด และให้เกิดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและข้อต่อทั่วร่างกาย ดังท่ากายบริหารต่อไปนี้
     1. วิ่งเหยาะๆรอบสนาม (เสริมความแข็งแรงและความอดทนทั่วไป)
     2.กระโดดปรบมือเหนือศีรษะ (สร้างความแข็งแรงและความอดทนทั่วไป)
     3.ก้ม - เงยศีรษะ (บริหารคอ)
     4.หมุนแขนไปด้านหน้าและหลังเป็นวงกลม (บริหารข้อต่อหัวไหล่)
     5.ยืนตรงดึงเข่าทีละข้างเข้าชิดอก (บริหารข้อเข่า และขา)
     6.ก้มตัวแตะพื้นขาเหยียดตึง (ความอ่อนตัว)
     7.มือประสานท้ายทอยบิดตัวสลับซ้าย ขวา (บริหารเอว และลำตัว)
     8.นอนหงายยกศีรษะขึ้นมาดูปลายเท้า (บริหารคอ)
     9.วิดพื้น (สร้างความแข็งแรงให้ข้อมือ แขน และไหล่)
    10.นอนคว่ำ ยกลำตัวท่อนบนและขาพ้นจากพื้น (บริหารหลัง)
    11.นั่งยองๆ มือประสานท้ายทอย กระโดดสลับปลายเท้าซ้ายขวา
    12.นั่งขาเหยียดตรงแยกขาทั้ง 2ออกก้มตัวและบิดลำตัวใช้ปลายนิ้วมือขวาแตะปลายเท้าซ้ายทำสลับซ้าย และขวา
    13.ลุกนั่ง เข่างอ 45 องศา (บริหารกล้ามเนื้อท้อง)
    14.ลุกนั่งขาราบ ศอกแตะเข่า (บริหารกล้ามเนื้อท้อง)
    15.ยืนย่อบนปลายเท้า เหยียดแขนทั้งสองไปข้างหน้าขนานพื้น  (บริหารข้อเท้าและฝึกการทรงตัว)
    16.บิดขาไขว้ข้ามมาแตะปลายนิ้วมือ (บริหารข้อสะโพกและโคนขา)
    17.นอนตะแคงข้าง ยกขาขึ้นลงทีละข้าง (บริหารสะโพกและโคนขา)
    18.นอนหงายยกขาขึ้นลงทีละข้าง (บริหารโคนขา)
    19.นอนหงายราบกับพื้น แขนเหยียดเหนือศีรษะ ยกลำตัวและเท้าขึ้น เหวี่ยงแขนและเท้าแตะกัน (ตัว V)
    20.คว่ำตัวมือเท้าพื้น แขนตึง ขาเหยียดตรง ดึงเท้าทั้งสองเข้ามาชิดลำตัวแล้วเหยียดขาทั้งสองออกไปใหม่ ทำสลับกัน
    21.นั่งเหยียดปลายเท้า ก้มลำตัวไปข้างหน้าใช้มือจับข้อเท้า (ความอ่อนตัว)
    22.จับคู่ยืนหันหน้าหากัน ใช้มือจับไหลซึ่งกันและกัน กดลำตัวของเพื่อนให้ลงต่ำ(บริหารลำตัว)
    23.จับคู่หันหลังชนกัน จับข้อมือเพื่อนให้นอนราบทับหลังก้มตัวให้มาก (ความอ่อนตัว)
    24.จับคู่เพื่อนยืนข้างเข้าหากัน ให้ยกแขนที่อยู่ด้านนอกขึ้นเหนือศีรษะแขนด้านในจับมือกันไวและออกแรงดึงจากแขนที่อยู่เหนือศีรษะ (บริหารไหล่)
    25.จับคู่ยืนหันหน้าเข้าหากันต่างคนต่างยกเท้าซ้ายให้เพื่อนจับที่ข้อเท้าโดยทั้งคู่สปริงด้วยปลายเท้าขวาพร้อมๆกัน (กำลังขา)
    26.บริหารข้อมือและข้อเท้า
    27.แขนเหยียดตึงเหนือศีรษะพร้อมกับเอียงลำตัวด้านข้างซ้ายและขวา
    28.ยืนไขว้ขาก้มแตะ
    29.กระโดดตบใต้ขา สลับซ้ายขวา
    30. ก้มแตะสลับปลายเท้า

วิธีการเล่นบาสเกตบอล

พื้นฐานการยืนท่าเตรียมพร้อม
เป็นท่าเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งรับแบบโซน ปฏิบัติโดยยืนแยกเท้าห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ย่อเข่าลงตามถนัด ให้น้ำหนักตัวส่วนใหญ่อยู่ที่ปลายเท้าทั้งสอง ลำตัวตั้งตรง กางแขนทั้งสองข้างออกพร้อมใช้งาน สายตามองตรง
การก้าวเท้าเคลื่อนที่ตามกันหรือการสไลด์
1.การสไสลด์ไปด้านข้างไปได้ทั้งสองข้าง ซ้ายและขวา ถ้าต้องการไปทางขวา ให้ก้าวเท้าขวาไปก่อนและตามด้วยเท้าซ้าย ชิดไปเรื่อย ๆ ด้านซ้ายก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนเท้าขึ้นนำ
2.การสไลด์ไปด้านหน้าและถอยหลัง เป็นการก้าวเท้าตามกันไปหรือถอยหลังตามกันไป ถ้าจะไปข้างหน้า ให้ก้าวเท้าขวาเป็นเท้าอีกข้างตามกันเรื่อย ๆ
การวิ่งแล้วหยุด
1.การหยุดด้วยเท้าข้างเดียว เป็นการหยุดที่มีเท้านำเท้าตาม คือเมื่อวิ่งมาและต้องการหยุด เมื่อเท้าหน้ตกถึงพื้น ให้ลงด้วยปลายเท้าและหย่อนเข่าลง ลดสะโพกต่ำลง แขนกางออกข้อศอกงอ
2.การหยุดเท้าคู่ เท้าทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน เป็นการหยุดแบบเท้าคู่ คือวิ่งมาเมือต้องการหยุดให้กระโดดขึ้นเล็กน้อยแล้วลงสู่พื้นด้วยเท้าทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน เมื่อเท้าตกถึงพื้นให้ให้ลงด้วยปลายเท้าแล้วย่อเข่าลง ลดสะโพกต่ำลง กางแขนออก งอข้อสอบ
การกระโดด
ในการเล่นบาสเกตบอล ต้องใช้การกระโดดบ่อยมากทำโดยยืนแยกเท้าห่างกันหนึ่งช่วงไหล่ ย่อตัวลงแล้วกระโดดชูแขนขึ้น ลำตัวและขาเหยียดตรง
การจับและการครอบครองบอล
การจับบอลเป็นทักษะเริ่มต้นที่เล่นกับลูกบอล โดยจับตรงกลางลูกบอลด้านข้างค่อนมาด้านหลังด้วยมือทั้ง 2 ข้างกางข้อศอกออกเล็กน้อย กางนิ้วมือออกพอประมาณ ให้นิ้วมือทุกนิ้วและฝ่ามือสัมผัสลูกเต็ม ๆ นิ้วหัวแม่มืออยู่ด้านในไกล้ลำตัวตำแหน่งของลูกบอลอยู่ระดับอก ยืนเท้าแยก 1 ช่วงไหล่ย่อเข่าลงเล็กน้อยให้ปลายเท้าส่วนใหญ่อยู่ที่ปลายเท้าทั้ง 2 ข้าง
การเลี้ยงลูกบาสเกตบอล
การเลี้ยงบอลให้ใช้ส่วนของปลายนิ้ว และโคนนิ้วไม่ใช่อุ้งมือกดลูกลงตามจังหวะลูกกระดอน ไม่ใช่การตีลูกด้วยมือ แบ่งตามลักษณะความสูงได้ดังนี้
เลี้ยงบอลสูง
ใช้สำหรับการเคลื่อนที่เร็ว ความสูงของลูกบอลอยู่ระดับอก และไหล่ของผู้เลี้ยงใช้ในกรณีที่ต้องการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อหนีคู่ต่อสู้ , เพื่อทำประตู เป็นต้น
การเลี้ยงบอลกลาง
เป็นการเลี้ยงบอลระดับเอว ใช้ในกรณีที่ต้องการครอบครองบอลอยู่กับที่ และรอจังหวะการเล่นลูกลักษณะอื่น ๆ ต่อไป
การเลี้ยงบอลต่ำ
เป็นการเลี้ยงบอลระดับหัวเข่า ใช้กรณีที่ต้องการหลบหลีกคู่ต่อสู้ เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ หลอกล่อฝ่ายตรงข้าม เป็นต้น
การรับลูกบาสเกตบอล
ทักษะการรับลูกต้องฝึกไปพร้อม ๆ กับการส่งแบ่งได้ 3 ระดับคือ
1.สูง
2.กลาง
3.ต่ำ
หลักการรับลูกทั้ง 3 ระดับมีหลักการเดียวกันคือยื่นมืออกไปรับบอล และผ่อนแรงบอลเพื่อลดแรงกระแทก
ทักษะการเคลื่อนที่
พื้นฐานการยืนท่าเตรียมพร้อม
เป็นท่าเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งรับแบบโซน ปฏิบัติโดยยืนแยกเท้าห่างกัน 1 ช่วงไหล่ ย่อเข่าลงตามถนัด ให้น้ำหนักตัวส่วนใหญ่อยู่ที่ปลายเท้าทั้งสอง ลำตัวตั้งตรง กางแขนทั้งสองข้างออกพร้อมใช้งาน สายตามองตรง
การก้าวเท้าเคลื่อนที่ตามกันหรือการสไลด์
1.การสไสลด์ไปด้านข้างไปได้ทั้งสองข้าง ซ้ายและขวา ถ้าต้องการไปทางขวา ให้ก้าวเท้าขวาไปก่อนและตามด้วยเท้าซ้าย ชิดไปเรื่อย ๆ ด้านซ้ายก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนเท้าขึ้นนำ
2.การสไลด์ไปด้านหน้าและถอยหลัง เป็นการก้าวเท้าตามกันไปหรือถอยหลังตามกันไป ถ้าจะไปข้างหน้า ให้ก้าวเท้าขวาเป็นเท้าอีกข้างตามกันเรื่อย ๆ
การวิ่งแล้วหยุด
1.การหยุดด้วยเท้าข้างเดียว เป็นการหยุดที่มีเท้านำเท้าตาม คือเมื่อวิ่งมาและต้องการหยุด เมื่อเท้าหน้ตกถึงพื้น ให้ลงด้วยปลายเท้าและหย่อนเข่าลง ลดสะโพกต่ำลง แขนกางออกข้อศอกงอ
2.การหยุดเท้าคู่ เท้าทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน เป็นการหยุดแบบเท้าคู่ คือวิ่งมาเมือต้องการหยุดให้กระโดดขึ้นเล็กน้อยแล้วลงสู่พื้นด้วยเท้าทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน เมื่อเท้าตกถึงพื้นให้ให้ลงด้วยปลายเท้าแล้วย่อเข่าลง ลดสะโพกต่ำลง กางแขนออก งอข้อสอบ
การกระโดด
ในการเล่นบาสเกตบอล ต้องใช้การกระโดดบ่อยมากทำโดยยืนแยกเท้าห่างกันหนึ่งช่วงไหล่ ย่อตัวลงแล้วกระโดดชูแขนขึ้น ลำตัวและขาเหยียดตรง
การจับและการครอบครองบอล
การจับบอลเป็นทักษะเริ่มต้นที่เล่นกับลูกบอล โดยจับตรงกลางลูกบอลด้านข้างค่อนมาด้านหลังด้วยมือทั้ง 2 ข้างกางข้อศอกออกเล็กน้อย กางนิ้วมือออกพอประมาณ ให้นิ้วมือทุกนิ้วและฝ่ามือสัมผัสลูกเต็ม ๆ นิ้วหัวแม่มืออยู่ด้านในไกล้ลำตัวตำแหน่งของลูกบอลอยู่ระดับอก ยืนเท้าแยก 1 ช่วงไหล่ย่อเข่าลงเล็กน้อยให้ปลายเท้าส่วนใหญ่อยู่ที่ปลายเท้าทั้ง
2 ข้าง
การเลี้ยงลูกบาสเกตบอล
การเลี้ยงบอลให้ใช้ส่วนของปลายนิ้ว และโคนนิ้วไม่ใช่อุ้งมือกดลูกลงตามจังหวะลูกกระดอน ไม่ใช่การตีลูกด้วยมือ แบ่งตามลักษณะความสูง
เลี้ยงบอลสูง
ใช้สำหรับการเคลื่อนที่เร็ว ความสูงของลูกบอลอยู่ระดับอก และไหล่ของผู้เลี้ยงใช้ในกรณีที่ต้องการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อหนีคู่ต่อสู้ , เพื่อทำประตู เป็นต้น
การเลี้ยงบอลกลาง
เป็นการเลี้ยงบอลระดับเอว ใช้ในกรณีที่ต้องการครอบครองบอลอยู่กับที่ และรอจังหวะการเล่นลูกลักษณะอื่น ๆ ต่อไป
การเลี้ยงบอลต่ำ
เป็นการเลี้ยงบอลระดับหัวเข่า ใช้กรณีที่ต้องการหลบหลีกคู่ต่อสู้ เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่
การรับลูกบาสเกตบอล
ทักษะการรับลูกต้องฝึกไปพร้อม ๆ กับการส่งแบ่งได้ 3 ระดับคือ
1.สูง
2.กลาง
3.ต่ำ
หลักการรับลูกทั้ง 3 ระดับมีหลักการเดียวกันคือยื่นมืออกไปรับบอล และผ่อนแรงบอลเพื่อลดแรงกระแทก
ข้อเสนอแนะ
1.ตามองที่ลูกบาสเกตบอลตลอดเวลา
2.อย่าใช้อุ้งมือรับบอล ให้รับด้วยนิ้ว และผ่อนแรงลูกด้วยนิ้วที่แรงมา
3.ควรให้สัญญาณกับผู้ส่งลูก ให้รู้ว่าส่งให้ตำแน่งและทิศทางใด อย่าส่งเสียงบอกให้ส่งมาให้เพราะคู่ต่อสู้จะจับทางบอลได้
4.พยายามวิ่งเข้าหาลูก และวิ่งไปรับบอลอย่ายืนรอบอลอยู่กับที่
การส่งบอล
มีหลายวิธีแต่ละวิธีแล้วแต่จุดมุ่งหมายและและสถานการณ์ แต่หลักการคือควรส่งไปที่อกของเพื่อนเพราะเป็นวิธีที่เพื่อนรับได้ง่ายที่สุด
1.การส่งลูกสองมือระดับอก
2. การส่งลูกกระดอน
4.การส่งสองมือข้าง
5.การส่งสองมือบน เหนือ ศีรษะ
6.การส่งมือเดียว เหนือ ศีรษะ เหนือไหล่
ข้อเสนอแนะ
1. อย่าส่งบอลให้กับคนที่กำลังหันหลังให้ หรือมีคู่ต่อสู้อยู่ประชิดตัว
2. อย่าส่งบอลข้ามคนเพราะอาจทำให้คู่ต่อสู้ตัดบอลไปได้ง่าย และอย่าลืมเป้าหมายของการส่งคือที่หน้าอกของเพื่อนร่วมทีมเพราะเป็นตำแหน่งที่รับได้ง่าย
3. อย่าแสดงลักษณะท่าทางว่าจะส่งบอลแบบใด ที่ไหน และให้ใคร
4. ถ้าต้องการส่งให้เร็ว และ แรงขึ้นควรสืบเท้าข้างใดข้างหนึ่งไปข้างหน้าเพื่อถ่ายน้ำหนักตัวเพิ่มแรงบอล
5. อย่าเสี่ยงส่งลูกพลิกแพลง
6. ยืนส่งอยู่กับที่ควรหลอกล่อให้คู่ต่อสู้เข้าใจผิด เช่นทำท่าส่งไปด้านซ้ายแต่ส่งไปด้านขวา แต่การหลอกต้องไม่ให้เพื่อร่วมทีมเราเองหลงไปด้วย
การยิงประตู
เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการรุก และเป็นจุดมุ่งหมายหลักของการเล่นบาสเกตบอล ซึ่งทักษะแต่ละคนมีไม่เท่ากันต้องอาศัยการฝึกฝน องค์ประกอบที่ช่วยให้เกิดความแม่นยำได้แก่ วิธีการเล็ง วิธีโค้งของลูก สิ่งแวดล้อม สภาพร่างกาย และจิตใจผู้ยิงประตู
องค์ประกอบดังกล่าว มีผลต่อความแม่นยำเป็นอย่างยิ่งเช่นในขณะที่เกมกำลังดำเนินการแข่งขันซึ่งมักดำเนินด้วยความตื่นเต้นและดุเดือด เพราะผู้เล่นมีความสามารถในการเล่นเกมรับและเกมรุกพอๆกัน โดยเฉพาะเวลาที่มีแต้มไกล้เคียงกันสภาพจิตใจต้องเยือกเย็น มั่นคง มีการตัดสินใจที่แน่วแน่กล้าที่จะสู้และขณะเล่นต้องมีจุดเล็งที่ดีเช่นการยิงโดยไม่ให้ลูกกระทบแป้น มีจุดเล็งที่เป็นจุดกระทบขึ้นอยู่กับมุมยิง ระยะทางแรงของบอลโดยเฉพาะมุมแคบใต้แป้น จุดกระทบมักอยู่สูงและไกลจากห่วงส่วนมุมยิงกว้างมุมกระทบมักจะต่ำและไกล้ห่วงประตูนอก จากนี้ความโค้งของส่วนเดินทางของลูกสู่ห่วงประตูต้องมีความโค้งที่มีขีดจำกัด ดังนั้นความสูงต่ำของความโค้งขึ้นอยู่กับความกว้างของมุมยิงจากมือ และเพื่อเพิ่มความแม่นยำ ในระยะทางที่ปานกลางควรมีวิถีโค้งปานกลางโดยทั่วไปจุดสูงสุดของส่วนโค้งจะอยู่ระดับขอบบนของแป้น ( ไม่รวมลูกกระทบแป้น)
สำหรับทิศทางและความเร็วของการหมุนของลูกนั้น มาจากออกแรงของข้อมือนิ้วมือ ขณะที่บอลออกจากมือและอยู่กลางอากาศซึ่งจะทำให้ลูกหมุนเข้าหาผู้ยิงโดยใช้ขวางของลูกเป็นแกนหมุน ดังนั้นการรักษาทิศทางทางและความแรงของลูกไว้จะช่วยเพิ่มความแม่นยำของลูกไว้ สิ่งที่จะช่วยให้ประสบผลสำเร็จคือ โอกาสและพละกำลังของผู้เล่นที่ยิงงลูกด้วย
โดยทั่วไปมีวิธีการดังนี้
มือเดียวเหนือศีรษะ
สองมือเหนือศีรษะ
ยิงใต้ห่วง(เลย์อัพ
เป็นการยิงประตูระหว่างการเคลื่อนที่ในขณะที่วิ่งแล้วกระโดดขึ้นไปยิงประตู มักใช้ในการบุกเร็วและเมื่อเจาะผ่านไปใต้แป้นซึ่งสามารถเข้าไปไกล้ใต้ห่วงมากที่สุด ผู้เล่นทุกคนต้องฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ รวดเร็ว แม่นยำ และสามารถยิงได้ 2 มือทั้งมือซ้ายและมือขวา การยิงลูกใต้ห่วงอย่างนี้เป้ฯการผสมทักษะหลายทักษะเข้าด้วยกัน คือการเลี้ยงลูกพร้อมกับวิ่ง กระโดด และชูลูกขึ้นยิงประตู บางครั้งผู้เล่นต้องหลีกจากการถูกปัดขณะลอยตัวอยู่ด้วยทั้งนี้ทิศทางการวิ่งเข้ายิงประตูแบ่งได้ 3 ทิศทางคือ
1.ทิศทางหน้าตรงห่วง ยิงด้วยมือที่ถนัด
2.ทิศทางด้านขวา ยิงด้วยมือขวา
3.ทิศทางด้านซ้าย ยิงด้วยด้านซ้าย
การยิงใต้ห่วงจะยิงด้วยมือเดียวหรือ 2 มือก็ได้ แต่ส่วนมากมักยิงด้วยมือเดียวลักษณะของมือในการยิงมี 3 แบบคือ
1.แบบคว่ำมือ
2.แบบหงายมือ
3.แบบ 2 มือ
ทักษะทีม
ตำแหน่งและหน้าที่ของผู้เล่นประกอบด้วยผู้เล่นในสนามข้างละ 5 คนดังนี้
1.ผู้เล่นหลังซ้าย (LEFT GUARD)
2.ผู้เล่นหลังขวา (RIGHT GUARD)
3.ผู้เล่นหน้าซ้าย (LEFT FORWARD)
4.ผู้เล่นหน้าขวา (RIGHT FORWARD)
5.ผู้เล่นกลาง (CENTER)
การเล่นลูกกระโดดภายในวงกลมกลางสนาม
การเล่นลูกกระโดดกลางสนามเริ่มการแข่งขัน เป็นการเริ่มเล่นที่ยังไม่มีผู้เล่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ครอบครองบอล ผู้ตัดสินจึงโยนลูกระหว่างผู้เล่นทั้ง 2 ทีม ทีมละ 1 คน ภายในวงกลมกลางสนาม ผู้เล่นทั้ง 2 คนต้องกระโดดขึ้นไปปัด หรือแปะไปให้ผู้เล่นฝ่ายเดียวกันที่ยืนอยู่ รอบ ๆ วงกลมเป็นการชิงจังหวะการครอบครองบอลเพื่อเล่นเกมส์รุก
ผู้เล่นทีมรุก
ทันทีที่ทีมบอลอยู่ที่ทีมใดทีมหนึ่ง ทีมนั้นจะกลายเป็นทีมรุกทันที และเริ่มใช้กลยุทธ์ในการนำบอลเข้าไปทำประตู เพื่อทำคะแนนให้ได้มากว่าอีกฝ่ายหนึ่ง โดยใช้ทักษะการรับ การส่ง การหลอก การเลี้ยง การหลบหลีกเพื่อเข้าไปทำประตู การรุกมีหลายรูปแบบมีทั้งแบบที่เป็นระบบ ไม่เป็นระบบ การุกครอบคลุมพื้นที่ การรุกเร็วอย่างต่อเนื่อง (ลักไก่) และแผนการอื่น ๆ ที่เป็นไปตามแผน ที่กำหนดขึ้นเองก็ได้ ตัวอย่างเกมรุก ที่นิยมใช้กันมีดังนี้
รุกแบบ 1-4
รุกแบบ 1-3-1
รุกแบบ 1-2-2
รุกแบบ 2-2-1( 2-3)
การรุกแบบแบ่งพื้นที่
การรุกโดยการเล่นแบบให้แล้วไป ( GIVE AND GO )
การรุกเร็วอย่างต่อเนื่อง (ลักไก่/fastbreak)
ผู้เล่นทีมรับ
จุดมุ่งหมายหลักของของทีมฝ่ายรับหรือทีมฝ่ายป้องกันก็คือ พยายามไม่ให้ฝ่ายรุกทำประตูได้ และขณะเดียวกันก็พยายามแย่งบอลเอามาเป็นของฝ่ายตนให้ได้เพื่อเปลี่ยนไปเป็นฝ่ายรุก การแข่งขันทั้ง 2 ฝ่ายมักผลัดกันเป็นฝ่ายรุกฝ่ายรับ ผู้เล่นฝ่ายรับต้องมีเทคนิค และความสามารถเฉพาะตัวที่ดี มีการเตรียมพร้อมที่ถูกต้องที่จะช่วยให้การเคลื่อนไหวทิศทางต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว ลักษณะการยืนขณะที่เป็นฝ่ายรับก็คือ เท้าใดเฃท้าหนึ่งอยู่ข้างหน้า งอเข่าเล็กน้อยแขม่วท้อง ตามองผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม น้ำหนักตัวอยู่ที่เท้าทั้ง 2 ข้าง
การป้องกันแบบพื้นที่หรือตั้งโซน
การป้องกันแบบ 2-3
การป้องกันแบบ 1-3-1
การป้องกันแบบ1-2-2
มักใช้กับการยืนยิงอยู่กับที่ เพราะขณะปล่อยลูกออกจากมือ ร่างกายของผู้ยิงต้องมีความนิ่งพอสมควร มิฉะนั้นความแม่นยำจะลดลงไป และใช้ยิงห่างจากห่วงประตูไม่มากนัก
ส่วนการยิงลูก 2 มือระดับมักใช้ในการยิงระยะไกลและปานกลางและสามารถใช้ร่วมกับการส่งลูก 2 มือระดับอกได้อีกด้วย
ลูกตวัด
เรียกกันทั่วๆ ไปว่าลูกฮุก ( hook shot ) เป็นลักษณะคล้ายกับการเกี่ยวลูกขึ้นไปยิงมักใช้เมื่อลูกอยู่ใต้แป้น ถูกฝ่ายรับเข้าประชิดตัว และไม่สามารถยิงด้วยวิธีอื่นได้ ผู้ยิงมักมีรูปร่างสูงและแขนยาว
ลูกกระโดด
จุดประสงค์ของผู้เล่นที่กระโดดยิงประตู เพื่อต้องการให้ไกล้ความสูงเพิ่มมากขึ้นและให้พ้นจากการปัดหรือหรือถูกแย่งลูกบอลจากฝ่ายรับ และยังเป็นการเพิ่มความแม่นยำขึ้นอีกในกรณีที่ที่ผู้เล่นกระโดดสูงขณะเล่นลูกใต้แป้น โดยโอกาสในการกระโดดยิงประตูมักใช้ในขณะที่ผู้เล่นฝ่ายรับตั้งรับอย่างเหนียวแน่น และโอกาสหนึ่งคือการกระโดดแย่งลูกจากแป้นแล้วยิงซ้ำทันที
การกระโดดขึ้นไปยิงประตูนั้นผู้เล่นอาจจะก้าวเท้าแล้วกระโดดขึ้นยิง หรือยืนกับที่แล้วกระโดดขึ้นยิง แต่มีข้อแตกต่างคือการก้าวเท้ากระโดดขึ้นยิงจะมีแรงมากกว่า กระโดดไดสูแต่มีช่วงระยะเวลามาก ส่วนการอยู่กับที่แล้วกระโดดขึ้นยิงนั้นมีแรงน้อย แต่มีลักษณะฉับพลันยากต่อการป้องกัน การกระโดดเมื่อใช้ร่วมกับการส่งลูก การหยุดชะงักและการหมุนตัวจะเกิดอาการเฉียบขาดและฉับพลัน
นิยมใช้กันมากกว่าวิธีอื่น ๆ โดยเฉพาะการยิงจุดโทษ และการยิงระยะห่าง ๆได้ซึ่งขณะยิงผู้เล่นอาจยืนอยู่กับที่หรือเคลื่อนที่กระโดดยิงก็ได้

ประโยชน์ของการเล่นบาสเกตบอล

กีฬาทุกประเภทล้วนแต่มีคุณค่าในตัวเองทั้งสิ้น จากประวัติความเป็นมาของกีฬาบาสเกตบอล สาเหตุของการคิดค้นเพื่อให้สามารถเล่นออกกำลังกายได้ในช่วงหิมะตก โดยเล่นในโรงพลศึกษาเช่นเดียวกับกรณีในประเทศไทยมีฝนตกก็เล่นในโรงพลศึกษาได้ สนามที่ใช้เล่น ก็ไม่ใหญ่โตมากนัก ซึ่งเหมาะกับสภาพปัจจุบันคือที่ดินมีราคาสูงและหาได้ยาก จำนวนผู้เล่นไม่มากนัก ผู้เล่นต้องอาศัยความเร็วและความสามารถในการเล่น นับว่าเป็นการท้าทายความสามารถในการที่จะฝึกฝนเพื่อให้เกิดทักษะหรือความชำนาญในการเล่น ซึ่งกีฬาบาสเกตบอลได้แฝงด้วยคุณค่าและประโยชน์อีกมากมาย พอสรุปได้ดังนี้
  1. ช่วยพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพในด้านต่างๆ ได้แก่ ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ และสังคมแก่บุคคล
  2. ช่วยพัฒนาและส่งเสริมกลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย (Motor Skill) ให้ทำงานประสานกันดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมือ เท้า สายตาให้เคลื่อนไหวได้อย่างถูกต้อง
  3. เป็นกิจกรรมนันทนาการสำหรับพักผ่อน คลายความตึงเครียดแก่ผู้เล่นและผู้ชม
  4. ช่วยฝึกการตัดสินใจและรู้จักคิดแก้ปัญหา ตลอดจนมีสมาธิดี
  5. ช่วยฝึกให้มีน้ำใจนักกีฬา รู้จักแพ้ รู้จักชนะและรู้จักให้อภัย
  6. ใช้เป็นสื่อในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและส่วนรวม
  7. ใช้เป็นสื่อในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในวิชาพลศึกษา
  8. ผู้เล่นที่มีความสามารถจะทำชื่อเสียงให้ตัวเอง วงศ์ตระกูลและประเทศชาติ
  9. เป็นวิชาชีพด้านหนึ่งสำหรับงานกีฬา เช่น การแข่งขัยบาสเกตบอลอาชีพ เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประโยชน์จาการวิ่ง

ประโยชน์ที่ 1 :  ความเครียดหายไป ลองออกไปวิ่งดูนะ ก็เหมือนกับการปั่นจักรยานนั่นแหละ คุณจะรู้สึกถึงความสุขขณะที่วิ่งไปเรื่อยๆ แต่ก็ควรเลือก...